ข้อคิดประจำสัปดาห์ วันอาทิตย์ 30 สิงหาคม 2020
การจู้จี้ขี้บ่น (Complaint or Grumble)
ศจ.ดร.ประดิษฐ์ เถกิงรังสฤษดิ์
ผมชอบใจแผ่นป้ายที่ฉลุข้อความว่า “The deadline of complaints was YESTERDAY” แปลเป็นไทยว่า “การบ่นหมดเขตเมื่อวานนี้” ผมจึงวางแผ่นป้ายนี้ไว้หน้ากระจกเพื่อเตือนใจตัวเอง
แม้การบ่น หรือคำเมืองว่า “การจ่ม” จะเป็นเรื่องปกติของคนทั่วไป แต่หากปล่อยปละละเลยจนกลายเป็นความเคยชินและติดเป็นนิสัย ก็อาจเป็นปัญหาใหญ่โตได้ เพราะนอกจากจะบั่นทอนสุขภาพจิตของตนแล้ว ยังก่อให้เกิดอารมณ์ขุ่นมัว ทำให้คนรอบข้างเบื่อหน่ายรำคาญ
คนจู้จี้ขี้บ่นจึงมักมีอารมณ์หงุดหงิด ฉุนเฉียว กระฟัดกระเฟียดและไม่พึงพอใจไปเสียทุกเรื่อง มักโทษนั่นโทษนี่ไม่สิ้นสุด อะไรๆ ก็ขวางหูขวางตาไปหมด จึงบ่นกระปอดกระแปดเหมือนหมีกินผึ้ง คนแบบนี้มักไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ หรือคบหาสมาคมด้วย เพราะกลัวถูกลูกหลงและเป็นที่รองรับทางอารมณ์
บางคนอาจแนะนำว่า ให้อยู่ห่างๆ คนขี้บ่น ไม่ต้องใส่ใจ เอาหูทวนลม หรือเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ แต่ในความเป็นจริง เราอาจหลีกเลี่ยงคนแบบนี้ไม่ได้ จงต้องทนอยู่ไปวันๆ ส่วนจะอดทนได้นานแค่ไหนนั้น ก็คงต้องตัวใครตัวมันแล้วกัน
ดังนั้น จึงต้องหาทางเยียวยารักษาและปรับเปลี่ยนนิสัยของการจู้จี้ขี้บ่นเสียใหม่ ด้วยการมองโลกในแง่ดีและควบคุมสติอารมณ์ของตนไว้บ้าง หาไม่แล้วอาจกลายเป็นคนโรคจิต ประสาทกินและรักษาไม่หายไปเลยก็มี
พระคัมภีร์ใช้คำว่า “อารมณ์เจ็บป่วย หรือ “Ill-Tempered” เพื่ออธิบายคน ขี้บ่น โดยระบุให้เป็นอาการเจ็บป่วยทางจิตใจ เพราะชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ทำเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องให้เป็นเรื่องจนได้ ชอบเก็บเล็กผสมน้อยและทำให้มีเรื่องต้องบ่นได้ไม่เว้นแต่ละวัน อะไรๆ ก็ขัดอกขัดใจไปเสียหมด
ผู้เขียนสุภาษิตจึงกล่าวว่า “อยู่ในแผ่นดินทุรกันดาร ดีกว่าอยู่กับผู้หญิง (ผู้ชาย) ที่ขี้ทะเลาะและจู้จี้ขี้บ่น" (สุภาษิต21:19) อีกทั้งเปรียบเปรยว่า “บุตรที่โง่เขลา เป็นความหายนะของบิดาฉันใด ภรรยาขี้ทะเลาะ (และขี้บ่น) ก็เหมือนน้ำฝนย้อยหยดไม่หยุดฉันนั้น” (สุภาษิต 19.13)
ลองนึกภาพของน้ำฝนที่ค้างอยู่บนหลังคาและหยดติ๋งๆ ทั้งวันทั้งคืน ซึ่งน่ารำคาญและทำลายสมาธิ จนบางครั้งนอนไม่หลับเพราะมันเคาะจังหวะในสมองตลอดเวลา ท่านเปาโลจึงสอนว่า “จงทำสิ่งสารพัดโดยปราศจากการบ่นและการทุ่มเถียงกัน” (ฟีลิปปี 2.14) และ “ข้าพเจ้าไม่ได้บ่นถึงเรื่องความขัดสน เพราะข้าพเจ้าจะมีฐานะอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็เรียนรู้แล้วที่จะพอใจ (Contentment) อยู่อย่างนั้น” (ฟีลิปปี 4.11)
นั่นคือ มีความพึงพอใจและยอมรับสิ่งต่างๆ อย่างเข้าใจ เพราะเชื่อว่า พระเจ้าทรงเป็นกำลังและความหวังใจเสมอ ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะเช่นใดก็ตาม เราจึงขอบพระคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี